top of page

"เนสกาแฟ" ถูกสั่งห้ามผลิตและจำหน่ายในไทย มีผลทันที

อัปเดตเมื่อ 13 เม.ย.

by Vichita Virochpoka

Photo by Vichita Virochpoka
Photo by Vichita Virochpoka

วงการกาแฟต้องสั่นคลอนเมื่อ เนสกาแฟ ถูกศาลสั่งห้ามผลิตและจำหน่ายในไทย มีผลทันที แน่นอนว่าในประเทศเรารู้จักกันดีกับ "เนสกาแฟ" แบรนด์กาแฟสำเร็จรูปอันดับหนึ่งของไทย ล่าสุดถูกศาลแพ่งมีนบุรีสั่งห้ามผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยโดยมีผลบังคับใช้ทันที

เหตุจากกรณีข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างบริษัทเนสท์เล่ (ไทย) ผู้ถือสิทธิ์แบรนด์เนสกาแฟ และตระกูลมหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ที่เคยร่วมทุนในการผลิตเนสกาแฟมาตั้งแต่ปี 2533

ต้นตอของข้อพิพาทเกิดจากการที่เนสท์เล่แจ้งยุติสัญญาร่วมทุนกับ QCP อย่างเป็นทางการเมื่อสิ้นปี 2567 หลังความสัมพันธ์ร่วมทุนยาวนานกว่า 34 ปี และไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการดำเนินกิจการในอนาคต ส่งผลให้เนสท์เล่ยื่นคำร้องขอเลิกบริษัท QCP ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขณะที่นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในทายาทตระกูลมหากิจศิริ ได้ฟ้องร้องทางแพ่งต่อบริษัทในเครือเนสท์เล่และคณะกรรมการ รวม 2 คดี และขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ศาลแพ่งมีนบุรีจึงมีคำสั่งห้ามเนสท์เล่ ผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทย โดยหนังสือแจ้งคู่ค้าถูกส่งออกเมื่อวันที่ 4 เมษายน พร้อมประกาศงดรับคำสั่งซื้อจากร้านค้าปลีกทันที ส่งผลให้ร้านค้าปลีก ร้านกาแฟรายย่อย และซัพพลายเออร์ทั่วประเทศได้รับผลกระทบโดยตรง

แน่นอนว่าคำสั่งศาลนี้สร้างความวิตกกังวลในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นกาแฟ และผู้ค้าที่พึ่งพาเนสกาแฟในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้า ไปจนถึงเกษตรกรโคนมก็ได้รับผลกระทบ เพราะเนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบในประเทศมากกว่าครึ่งของผลผลิตรวมของไทยทุกปี

ในฝั่งของเนสท์เล่ได้ให้แถลงการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว พร้อมส่งข้อมูลเพิ่มเติมต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อพิจารณา

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้กาแฟจะไม่ใช่สินค้าควบคุม แต่ด้วยผลกระทบต่อผู้บริโภค กรมจึงลงพื้นที่ตรวจสอบราคาจำหน่าย ปริมาณสินค้า และการกักตุน ท่านยืนยันว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่มีภาวะขาดแคลน ผู้ค้าส่งยังส่งของได้ตามปกติ ส่วนร้านค้าปลีกยังมีสต๊อกเพียงพอ และไม่มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด

และกรมการค้าภายในได้สั่งให้ทุกร้านค้าปิดป้ายแสดงราคาสินค้าอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการฉวยโอกาส หากพบการละเมิด เช่น ไม่แสดงราคา หรือขายสินค้าเกินราคา จะมีบทลงโทษทั้งปรับและจำคุก โดยประชาชนสามารถร้องเรียนได้ผ่านสายด่วน 1569 หรือไลน์ @MR.DIT เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที

แม้เนสกาแฟจะเป็นผู้นำตลาดกาแฟสำเร็จรูปในไทยมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท แต่สถานการณ์นี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการแข่งขันในตลาด เมื่อผู้บริโภคหันไปทดลองแบรนด์กาแฟอื่นที่เริ่มเข้ามาทำตลาด พร้อมโปรโมชันราคาพิเศษ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านพฤติกรรมผู้บริโภคและส่วนแบ่งตลาด

แล้วหากต้องการติดตามว่าเนสกาแฟจะกลับมาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยได้เมื่อ นั้นก็ขึ้นอยู่กับคำตัดสินของศาล และข้อตกลงของคู่กรณี ซึ่งยังอยู่ระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาล ขณะที่คู่แข่งในตลาดกาแฟอาจฉวยโอกาสช่วงนี้รุกตลาดอย่างเต็มที่ ทางเราขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ประกอบการ ผู้บริโภคและผู้ได้รับผลกระทบทุกท่าน

Comments


bottom of page